งานเสวนา "ชุมชนรมณีย์ สู่ สังคมรมณีย์" ณ สวนโมกข์กรุงเทพ ชวนทำความเข้าใจ "ความรมณีย์" ทั้งภายนอกและภายใน

กรุงเทพฯ – เมื่อวันที่ 5 พฤษพาคม 2568 ณ สวนโมกข์กรุงเทพ ได้มีการจัดงานปลูกต้นไม้ปลูกธรรมะ วิสาขบูชา 2568 มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “ชุมชนรมณีย์ สู่ สังคมรมณีย์” โดยได้รับเกียรติจากพระอาจารย์และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านมาร่วมแบ่งปันมุมมองและความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “รมณีย์” ซึ่งเป็นคำสำคัญในพุทธศาสนาที่หลายคนอาจหลงลืมไป
งานเสวนามีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ทำความรู้จักและมีความรู้สึกเกี่ยวข้องกับคำว่า “รมณีย์” โดยได้รับเกียรติจาก พระพรหมพัชรญาณมุนี (พระอาจารย์ชยสาโร), พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล, ดร.วิรไท สันติประภะ (ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) และ คุณเชอร์รี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ (ผู้ก่อตั้งโครงการลิตเติ้ลฟอเรสต์ ปลูกป่า ปลูกคน ปลูกใจ) มาร่วมพูดคุยในบรรยากาศสบายๆ นำเสวนาโดยคุณนที เอกวิจิตร และ คุณกิตติ เชี่ยววงศ์กุล
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ได้อธิบายว่า “รมณีย์” หมายถึงความเป็นเลิศของสถานที่ที่น่าพักอาศัย โดยมีคุณสมบัติ 3 ประการหลัก คือ 1. มีธรรมชาติที่ร่มรื่น 2. สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย และ 3. มีผู้คนที่ดี มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเกื้อกูล สำหรับ “บุคคลงรมณีย์” ท่านหมายถึงผู้ที่มีจิตใจภายในร่มเย็นสงบ เพราะร่มธรรม อยู่ใกล้แล้วสบายใจ ปลอดภัย มีเมตตากรุณา ท่านชี้ว่า กิเลสเปรียบเหมือน “ความร้อน” การปฏิบัติคือการออกจากร้อนไปสู่ “ความเย็น” เช่น นิพพาน แม้สิ่งแวดล้อมภายนอกจะมีผล แต่จิตใจภายในก็สำคัญ ท่านยังได้ยกตัวอย่าง “ชุมชนรมณีย์” ซึ่งมีสองแบบคือทางภูมิศาสตร์ (ละแวกบ้าน) และทางความสัมพันธ์ (ผู้คนที่มีอุดมคติร่วมกัน) แม้ชุมชนทางภูมิศาสตร์จะอ่อนแอลงในสังคมสมัยใหม่ แต่เรายังสามารถสร้างความรมณีย์ได้ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียว รักษาความสะอาด และส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน ท่านย้ำว่าการทำชุมชนให้รมณีย์เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง เปรียบดังตัวอย่างของมฆมานพในพุทธกาล
พระอาจารย์ชยสาโร ได้กล่าวถึงการสร้าง “ความรมณีย์ในใจ” ว่าไม่ใช่การมุ่งหาความสงบทีเดียว แต่ให้เริ่มต้นจากการรับรู้ “ความไม่สงบ” ที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน การภาวนาคือการ “ทวนกระแส” กิเลส ซึ่งจะทำให้เห็นและเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ท่านได้ให้วิธีง่ายๆ ในการสัมผัสรสของความสงบ คือการสังเกตช่วง “หยุด” ระหว่างหายใจออกสุดก่อนหายใจเข้า การปฏิบัติเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งในรูปแบบ (นั่งสมาธิ, เดินจงกรม) และในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้สติแข็งแรงขึ้น ทำให้เราเท่าทันและไม่คล้อยตามกิเลสได้เร็วขึ้น ท่านกล่าวว่า กิเลสก็มี “เสน่ห์” แต่โทษนั้นมากกว่า การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงจะช่วยให้เกิดปัญญาในการแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นรมณีย์และไม่เป็นรมณีย์ในใจ
ดร.วิรไท สันติประภพ ได้ให้มุมมองว่าความรมณีย์มี 2 ส่วนคือ สภาวะแวดล้อมภายนอก และ วิธีการที่เราตีความสภาวะภายนอกนั้นในใจ การบริหารความคาดหวังในใจเป็นสิ่งสำคัญ และการเปลี่ยนมุมมองสามารถช่วยให้เรามองเห็นความรมณีย์ได้แม้ในสถานการณ์ที่อาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง ท่านได้เชื่อมโยงแนวคิดความรมณีย์สู่ “องค์กรรมณีย์” โดยกล่าวถึงคำแนะนำจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านชี้ว่าความทุกข์และความเครียดจำนวนมากในชีวิตคนทำงานมาจากที่ทำงาน ปัญหาในองค์กรเกิดจากหลายปัจจัย เช่น แรงกดดัน วัฒนธรรมองค์กร และที่สำคัญคือผู้บริหารมักจะ “ลืมตัว” การสร้างองค์กรรมณีย์ต้องเริ่มต้นจาก ผู้บริหารต้องเข้าใจเรื่องใจของตัวเอง และสร้าง “พื้นที่แห่งสติ” (สติสเปซ) ในองค์กร การฟังอย่างมีสติ การรับฟังโดยไม่ด่วนตัดสินเป็นทักษะสำคัญในการสร้างบรรยากาศรมณีย์ในองค์กร ท่านย้ำว่าแม้เป็นเพียงพนักงานคนเดียวก็สามารถเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ด้วยการเปลี่ยนที่ตัวเอง โดยเป้าหมายคือการทำให้มนุษย์เป็น “มนุษย์รมณีย์” ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้าง ฉันทะ ปราโมทย์ และมัตตัญญุตา (ความพึงพอใจ/พอประมาณ) ในงานที่ทำ
คุณเชอร์รี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ ได้มองความรมณีย์ว่ามีทั้ง ภายนอก คือสภาพแวดล้อมที่สงบ สะอาด สบาย ซึ่งเอื้อต่อความรมณีย์ ภายใน (ศีล สมาธิ ปัญญา) และความรมณีย์ภายในก็ส่งผลต่อบรรยากาศภายนอกเช่นกัน ในส่วนของสิ่งแวดล้อม คุณเชอร์รี่ชี้ว่า แม้จะมีการรณรงค์ปลูกต้นไม้มายาวนาน แต่การลงมือทำจริงยังเป็นอุปสรรคสำคัญ ผู้คนมักจะแยกตัวเองออกจากธรรมชาติ และคิดว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่ของคนอื่น การปลูกต้นไม้ต้องมีการดูแลต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่วันเดียว และต้องมีความตั้งใจจริง ท่านเน้นย้ำว่า พฤติกรรมการบริโภคของเราก็มีผลอย่างมากต่อการลดลงของพื้นที่สีเขียว การบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบจึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหานี้ ท่านได้ชวนให้คิดว่าต้นไม้เพียงต้นเดียวก็เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตมากมายและมีความสัมพันธ์พึ่งพิงกัน การดูแลสิ่งแวดล้อมจึงเป็นการสร้างความรมณีย์ภายนอกที่ช่วยส่งเสริมความรมณีย์ภายใน
ภายในงาน ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การกล่าว คำปณิธาน “ปลูกต้นไม้ สร้างสังคมรมณีย์” และกิจกรรมเดินถือกล้าไม้ภาวนาสู่ความรมณีย์ นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรม “เขียน-แปะ-เปลี่ยน” ให้ผู้เข้าร่วมได้เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่อยากเห็นในสังคมที่รมณีย์
งานเสวนาในวันนี้ได้ตอกย้ำความสำคัญของคำว่า “รมณีย์” ว่าไม่ใช่เพียงแค่สภาพแวดล้อมทางกายภาพที่น่ารื่นรมย์ แต่ยังรวมถึงสภาพจิตใจที่สงบเย็น และสังคมที่ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน แม้การเปลี่ยนแปลงอาจไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา และต้องเผชิญกับอุปสรรคทั้งภายในและภายนอก รวมถึงค่านิยมทางเศรษฐกิจที่อาจขัดแย้ง แต่การเริ่มต้นที่ตัวเอง การฝึกใจให้มีสติ และการมีส่วนร่วมในการสร้างสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ดีงาม ก็เป็นหนทางสู่การสร้าง ชุมชนรมณีย์ และสังคมรมณีย์ ให้เกิดขึ้นได้จริง
กิจกรรมนี้ ร่วมจัดโดยมูลนิธิปลูกต้นไม้ปลูกธรรมะ สวนโมกข์กรุงเทพ Growgreen by Assetwise และ โรงเรียนปลูกป่าขอนแก่น
ท่านสามารถชมย้อนหลังได้ที่นี่ คลิก